อันตรายจากการใช้แอมโมเนียในโรงงานทำน้ำแข็งและห้องเย็น
โรงงานทำน้ำแข็งและห้องเย็นมักนิยมใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นในระบบทำความเย็นเนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสารทำความเย็นประเภทคลอโรฟลูออโรคาร์บอน( CFC) และประการสำคัญคือไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศแต่แอมโมเนียมีสมบัติความเป็นพิษในตัวเองดังนั้นการนำมาใช้ประโยชน์จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะหากเกิดการรั่วไหลอาจทำ
ให้ผู้ปฏิบัติงานในบริเวณที่มีการใช้แอมโมเนียและบริเวณใกล้เคียงได้รับอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ลักษณะของแอมโมเนีย
แอมโมเนียที่ใช้ในระบบทำความเย็นเป็นแอมโมเนียที่ปราศจากน้ำ(Ammonia anhydrous)ทั้งที่อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวและก๊าซแอมโมเนียในสถานะก๊าซเป็นก๊าซที่ไม่มีสีมีกลิ่นฉุนรุนแรงมีความเป็นพิษสูงสามารถละลายน้ำได้ดีและมีฤทธิ์กัดกร่อนสูงและด้วยความสามารถในการละลายน้ำได้ดีถึงแม้ว่าแอมโมเนียจะเบากว่าอากาศ (น้ำหนักโมเลกุลของแอมโมเนีย = 17) แต่เมื่อมีการรั่วไหลเกิดขึ้นก๊าซ
แอมโมเนียจะรวมตัวกับความชื้นในอากาศทำให้เกิดเป็นหมอกควันสีขาวของแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ซึ่งจะทำให้หนักกว่าอากาศดังนั้นเมื่อแอมโมเนียรั่วไหลในอากาศจึงมีทั้งแอมโมเนียที่เบาและหนักกว่าอากาศอยู่ปะปนกันสามารถลุกไหม้ได้ที่ช่วงความเข้มข้นของไอระเหยระหว่าง16 – 25 % โดยปริมาตรแอมโมเนียสามารถลุกติดไฟได้เอง(Autoignition Temperature) ที่อุณหภูมิประมาณ 650 องศาเซลเซียสแอมโมเนียที่อยู่ในภาชนะบรรจุจะอยู่ในสถานะเป็นของเหลวภายใต้ความดันประมาณ 150 ปอนด์ /ตารางนิ้วที่อุณหภูมิ - 33องศาเซลเซียสแต่ก๊าซแอมโมเนียในภาชนะบรรจุมีสถานะเป็นของเหลวซึ่งมีอัตราการขยายตัวกลายเป็นก๊าซแอมโมเนียในอัตราส่วน 1 : 850 นั่นคือแอมโมเนียเหลว1 ส่วนหากมีการรั่วไหลออกสู่บรรยากาศจะขยายตัวเป็นก๊าซได้ 850 ส่วน
อันตรายจากแอมโมเนีย
• ไอระเหยของแอมโมเนียทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดแผลไหม้ต่อระบบทางเดินหายใจทำให้มีเสมหะเกิดอาการหายใจสั้นๆเจ็บหน้าอกชักหมดสติและอาจทำให้เสียชีวิตหากหายใจเอาสารนี้เข้าไปหากสัมผัสแอมโมเนียจะทำให้ผิวหนังและตาไหม้และสูญเสียการมองเห็นและถ้าสัมผัสกับแอมโมเนียในสภาพของเหลวจะทำให้เกิดแผลไหม้เนื่องจากความเย็นจัด (Cold Burn)
• เนื่องจากแอมโมเนียเป็นก๊าซพิษเมื่อเกิดการรั่วไหลจึงอาจทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเสียชีวิตได้อีกประการหนึ่งเนื่องจากสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแอมโมเนียรั่วไหลพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุการระบายไอของอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยมีโอกาสเกิดสูงกว่าการระเบิดของภาชนะบรรจุแอมโมเนียเป็นอันมากดังนั้นภาชนะหรือท่อบรรจุ(Ammonia Cylinders) จึงไม่นิยมติดตั้งกลอุปกรณ์นิรภัย (Safety Devices) ทั้งนี้เพื่อมิให้มีการระบายก๊าซออกจากภาชนะบรรจุได้โดยง่ายเมื่อมีอุณหภูมิสูงดังนั้นภาชนะบรรจุแอมโมเนียจึงอาจจะระเบิดได้เมื่อได้รับความร้อนจากเพลิงไหม้เป็นเวลานานสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหากเกิดเพลิงไหม้ใกล้กับภาชนะบรรจุแอมโมเนียการหล่อเย็น(Cooling) ที่ภาชนะบรรจุหรือการเคลื่อนย้ายภาชนะบรรจุออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในลำดับ
แรกโดยทันที
อันตรายจากการสัมผัสแอมโมเนีย
ระดับความเข้มข้นของแอมโมเนียที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
-50 ส่วนในล้านส่วนกลิ่นรุนแรงมากจนรู้สึกอึดอัด
-400 – 700 ส่วนในล้านส่วนแสบตาและจมูกรู้สึกระคายเคือง
-5000 ส่วนในล้านส่วนกล้ามเนื้อเกร็งและหายใจไม่ออกอาจเสียชีวิตได้ภายใน 2 – 3 นาที
การตรวจสอบและทดสอบภาชนะบรรจุก๊าซ
ภาชนะหรือท่อบรรจุก๊าซแอมโมเนียจำเป็นต้องมีการตรวจสอบสภาพและทดสอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานตามข้อกำหนดในมอก. 358 โดยดำเนินการตรวจทดสอบเกี่ยวกับ
• ตรวจสภาพภาชนะบรรจุเกี่ยวกับการกัดกร่อนบวมบุบหรือไฟไหม้
• ตรวจสอบการทำงานของกลอุปกรณ์นิรภัย
• ตรวจสอบสภาพของแกนวาล์วต้องไม่เอียงและเกลียวไม่สึก
• ตรวจหารอยรั่วบริเวณแกนวาล์ว
• การตรวจทดสอบท่อบรรจุก๊าซโดยละเอียด
ทั้งนี้การดำเนินการตรวจสอบและทดสอบดังกล่าวข้างต้นสำหรับภาชนะบรรจุที่เป็นท่อบรรจุก๊าซ
(Gas Cylinder) มีวิธีการทดสอบ 4 วิธีดังนี้
1. ตรวจพินิจภายนอกต้องทำความสะอาดท่อพร้อมลอกสีที่ทาท่อออกเพื่อตรวจสอบการกัดกร่อนรอยบุบรอยขูดขีดการบวม
และรอยไฟไหม้
2. ตรวจพินิจภายในต้องทำความสะอาดภายในท่อด้วยลูกเหล็กจนสะอาดดีแล้วจึงใช้แสงไฟส่องเข้าไปเพื่อตรวจสอบภายใน
เพื่อหาการผุกร่อนหรือหลุม
3. ชั่งน้ำหนักท่อต้องถอดอุปกรณ์ของท่อออกทั้งหมดแล้วชั่งน้ำหนักถ้าน้ำหนักน้อยกว่าร้อยละ 95 ของน้ำหนักท่อเดิมห้ามน
ำท่อนั้นมาใช้งาน
4. ตรวจทดสอบโดยการอัดน้ำ(ไฮดรอลิก) ทดสอบภาชนะบรรจุก๊าซโดยการใช้น้ำทดสอบ (Hydrostatic Test) ซึ่งมี 2 วิธีคือแบบทดสอบในถังน้ำและทดสอบในแบบถังไร้น้ำความดันที่ใช้ทดสอบประมาณ 1.3 - 1.5 เท่าของความดันใช้งานสูงสุดจากนั้นตรวจหารอยรั่วการบวมและการขยายตัวถาวรของท่อ (Permanent Expansion Test)
การป้องกันอันตรายจากแอมโมเนีย
- ภาชนะบรรจุหรือระบบท่อส่งก๊าซแอมโมเนียต้องมีการออกแบบวิธีการสร้างวัสดุที่ใช้และอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปเช่น CGA (Compressed Gas Association) หรือ DIN ซึ่งเพียงพอที่จะใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
- การเลือกสถานที่จัดเก็บแอมโมเนียที่เหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงและความเสียหายเนื่องจากการรั่วไหลหรือระเบิดได้ต้องพิจารณาติดตั้งไว้นอกอาคารบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดและความชื้นอากาศถ่ายเทได้ดีไม่มีแหล่งกำเนิดความร้อนหรือประกายไฟและเก็บให้ห่างจากสารที่อาจทำปฏิกิริยากับแอมโมเนียมีป้ายเตือนอันตรายและที่สำคัญจะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดที่เหมาะสมติดตั้งไว้บริเวณใกล้เคียง
- อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้กับแอมโมเนียเช่นวาล์วข้อต่อและวาล์วสกัดต่างๆต้องทำด้วยโลหะที่เหมาะสมกับแอมโมเนียเท่านั้นเช่นเหล็กเหล็กเหนียวหรือสเตนเลสห้ามใช้ทองแดงหรือทองเหลืองกับแอมโมเนียโดยเด็ดขาด
- ตรวจสอบภาชนะบรรจุระบบท่อและวาล์วของระบบแอมโมเนียเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอและซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ
- ในการปฏิบัติงานที่มีการใช้แอมโมเนียจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย(Safety Operation Procedures)
โดยเคร่งครัดในทุกขั้นตอน
- ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับแอมโมเนียต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมเช่นชุดป้องกันอันตรายจากสารเคมีพร้อมทั้งอุปกรณ์ได้แก่ถุงมือหน้ากากอุปกรณ์ช่วยหายใจแล้วแต่ความจำเป็นทั้งในการระงับเหตุฉุกเฉินและในกรณีปฏิบัติงานตามปกติ
- จัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากแอมโมเนียการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยรวมทั้งการระงับเหตุฉุกเฉินที่เกิดจากแอมโมเนียทั้งนี้ให้มีการฝึกอบรมเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการย้ำเตือนให้พนักงานตระหนักถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานกับแอมโมเนีย
- จัดเตรียมอุปกรณ์ระงับภัยในกรณีหกรั่วไหลหรือเกิดเพลิงไหม้เช่นระบบน้ำดับเพลิงและถังดับเพลิงรวมทั้งการจัดการน้ำเสียจากการระงับเหตุเป็นต้น
- จัดทำแผนระงับเหตุฉุกเฉินแอมโมเนียรั่วไหล / เพลิงไหม้และฝึกซ้อมแผนเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การจัดการเมื่อเกิดการรั่วไหล
เนื่องจากคุณสมบัติของแอมโมเนียละลายน้ำได้ดีหากเกิดการรั่วไหลที่วาล์วข้อต่อหรืออุปกรณ์ต่างๆสิ่งสำคัญในการจัดการการรั่วไหลก็คือพยายามฉีดน้ำให้เป็นฝอยอย่างหนาแน่นครอบคลุมเพื่อจับไอของแอมโมเนียที่ฟุ้งกระจายเป็นการสลายพิษแอมโมเนียและระวังไม่ให้ฉีดน้ำตรงจุดที่แอมโมเนียเหลวรั่วไหลอยู่พยายามเข้าไปปิดวาล์วหรือหยุดการรั่วไหลที่ต้นทางใหไ้ด้แต่ผู้ที่เข้าไปปฏิบัติการจะต้องสวม
ใส่ชุดป้องกันสารเคมีและอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่เหมาะสมเช่นหน้ากากป้องกันแอมโมเนียและเครื่องช่วยหายใจ (Self-Control Breathing Apparatus) ตลอดเวลาที่ปฏิบัติการ
การรั่วไหลของแอมโมเนีย
การระงับเหตุฉุกเฉินแอมโมเนียรั่วไหล
การปฐมพยาบาลผู้ประสบเหตุ
เมื่อได้รับแอมโมเนียทางระบบหายใจ
• เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในบริเวณที่อากาศบริสุทธิ์
• ถอดเสื้อให้หลวมและห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วย
• เรียกรถพยาบาลพร้อมเครื่องให้ออกซิเจน
• ถ้าปากและคอได้รับบาดเจ็บจากแอมโมเนียให้ผู้ป่วยดื่มน้ำช้าๆ
• ถ้าปากและคอไม่ได้รับบาดเจ็บให้ผู้ป่วยดื่มชาหวานหรือกาแฟร้อน
• ถ้าการหายใจล้มเหลวให้ทำการผายปอดทันที
• ห้ามป้อนน้ำแก่ผู้ป่วยที่หมดสติโดยเด็ดขาด
แอมโมเนียสัมผัสตา
• ให้ล้างตาด้วยน้ำยาล้างตาบอริก 2.5% หรือล้างด้วยน้ำสะอาดไม่น้อยกว่า 30 นาที
• ไปพบแพทย์
แอมโมเนียสัมผัสผิวหนัง
• ล้างด้วยน้ำสะอาดไม่น้อยกว่า 15 นาที
• ใช้ผ้าชุบน้ำยาล้างตาบอริก 2.5% ปะคบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
• ไปพบแพทย์
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเรื่องแอมโมเนีย ,
บริษัทไทยอินดัสเตรียลก๊าซจำกัด (มหาชน) , 14 มิถุนายน 2550.
2. ภาชนะรับแรงดันและภาชนะบรรจุก๊าซ, http://health.hcu.ac.th/safetyEG/lesson/E.ppt
3. Ammonia Anhydrous, http://www.camd.lsu.edu/msds/a/ammonia.htm
4. Material Safety Data Sheet ,Anhydrous ammonia, http://www.wdserviceco.com/MSDSANHY.html
5. Timothy J. Lawrence,Dr.Thomas G. Carpenter, Dr.Thomas L. Bean, Safe Handling of Anhydrous
Ammonia, Ohio State University Fact Sheet, The Ohio State University.
(http://ohioline.osu.edu/aex-fact/0594.html )
6. Wikipedia, the free encyclopedia, http://en.wikipedia.org/wiki/Ammonia
โดยนางสาวอิสราภรณ์วิจิตรจรรยากุล
นักวิทยาศาสตร์ 8ว.
สำนักเทคโนโลยีความปลอดภัย__
หน้าที่เข้าชม | 186,672 ครั้ง |
เปิดร้าน | 18 ธ.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |